
รัฐบาลเพิ่มศักยภาพร้าน “โชห่วย” ดัน 5 หน่วยรัฐผนึกกำลังหนุนเต็มพิกัด
รัฐบาลเดินหน้านโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ผุดโครงการสนับสนุนโชห่วยชุมชน ผลักดัน 5 หน่วยงานภาครัฐประสานมือสร้างระบบธุรกิจการค้ารูปแบบใหม่ผ่านเทคโนโลยีออนไลน์
ไปรษณีย์ไทยรับเป็นแกนกลางเชื่อมต่อระบบพีโอเอสชุมชนและไทยแลนด์โพสต์มาร์ต
ตั้งเป้าระยะแรก 750 แห่งภายใน 3 เดือน ก่อนขยายให้ได้ 4 หมื่นร้านในปี 3
ปีข้างหน้า
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการสนับสนุนโชห่วยชุมชน
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย
จำกัด ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ณ
อาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ในวันนี้ (2 ต.ค.) ว่า
โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาช่องทางการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แบบฺ B2B (Business to
Business) ผ่านแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์
ให้เป็นแพลตฟอร์มหลักอำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าจากร้านโชห่วยในชุมชนต่าง ๆ
ไปยังผู้ผลิตสินค้า โดยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้ง 5
แห่งดังกล่าว กับภาคเอกชนผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน
“โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลเล็งเห็นปัญหาความเดือดร้อนของร้านขายของชำที่อยู่ภายในชุมชน
หรือที่เรียกกันว่าร้านโชห่วยปัจจุบันไม่สามารถแข่งขันในตลาดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
โดยเฉพาะร้านโชห่วยที่อยู่ห่างไกลในชนบท เนื่องจากมีต้นทุนสูงในการซื้อและสต๊อกสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายภายในร้านเพราะมีกำลังซื้อจำกัด
ทำให้ไม่สามารถต่อรองเรื่องราคาต้นทุนกับผู้ผลิต
และส่วนใหญ่ยังไม่มีการการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสั่งซื้อสินค้าและรายงานสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบ
ทำให้การบริหารต้นทุนยังขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้สินค้าในร้านมีราคาสูงและไม่สามารถแข่งขันได้”
ทั้งนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย
จำกัด จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางหลักระหว่างร้านโชห่วยกับผู้ผลิต
บริหารคำสั่งซื้อสินค้า บริหารคลังสินค้า การจัดส่ง
และการชำระเงินค่าสินค้าของร้านโชห่วย
โดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่แล้วทั้งในโครงการพีโอเอสชุมชน และร้านค้าออนไลน์ thailandpostmart.com โดยมีกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาและประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าต่าง
ๆ รวมทั้งช่วยเหลือและให้คำปรึกษาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ธนาคารออมสิน และ
ธ.ก.ส ร่วมสนับสนุนในด้านสินเชื่อการค้าระยะสั้นให้แก่ร้านโชห่วย
นายกอบศักดิ์กล่าวเน้นว่า
โครงการนี้นอกจากจะช่วยให้ร้านโชห่วยสามารถลดต้นทุนสินค้าจากการรวมซื้อแล้ว
ยังเป็นการสร้างกลไกในการนำสินค้าจากชุมชนให้สามารถนำออกมาจำหน่ายทั่วประเทศอีกด้วย
โดยชุมชนสามารถนำสินค้าที่พัฒนาและผลิตเอง มาเสนอขายบนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ร้านโชห่วยอื่น
ๆ
สามารถสั่งซื้อสินค้าไปขายได้วิธีนี้จะช่วยสร้างและขยายตลาดสินค้าชุมชนได้อย่างแพร่หลาย
โดยในระยะแรกจะเริ่มนำร่องใน 3 จังหวัดคือ
จังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
กำหนดเป้าหมายร้านค้าเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 750 ร้านภายในเดือนมกราคม 2562
โดยตั้งเป้าให้แต่ละร้านมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10
และคาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมร้านโชห่วยในทุกจังหวัดได้ประมาณ 4 หมื่นร้านภายใน 3 ปี